ผมรักในหลวงที่สุดในโลก

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"บวร" กลับสู่ชุมชนที่นาหม่อม


เดือนนี้มีวันสำคัญๆสำหรับตัวเองมากเป็นพิเศษ เช่น ครบรอบวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน และยังมีวันมาฆะบูชา วันวาเลนไทม์ ครบรอบวันเกิดของคุณพ่อพี่เอก ฯลฯ ในกิจกรรมที่เกี่ยวกับวัดการทำบุญต่างๆ ถามพี่เอกในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับวันสำคัญๆที่ดูแกไม่ค่อยจะใส่ใจนัก แล้วก็ได้ยินประโยคที่จะกล่าวต่อไปนี้


พี่เอก “ทุกวันนี้คนเรารู้จักแต่หาความรักให้กับตัวเอง ไม่เคยมีให้ผู้อื่นเลย อย่าพูดว่ารักเลย แค่คำว่าชอบ ชื่นชอบ ชื่นชม ให้คนอื่นๆ ยังไม่มีให้กันเลย คิดอย่างเดียวว่าอยากจะได้ แต่ไม่รู้จักให้คนอื่น เวลาของหาย รถหาย ถูกปล้น ถูกขโมย ลูกหลานติดยา ก็โทษสังคม โทษเจ้าหน้าที่ โทษชะตาชีวิต โทษฟ้า โทษดิน เวรกำเวรกรรม ทำไมไม่ยืนนิ่งๆ ทำใจสงบๆ แล้วมองดูผู้อื่นบ้าง ลองคิดดูซิว่าในสายตาเห็นใครเขาทำดีกันบ้าง ให้ใช้สายตามอง ใช้ความรู้สึกเป็นตัวตัดสินน่ะครับ อย่าใช้ความคิด แค่สายตาเห็นสิ่งที่เค้าทำแล้วตัวเองมีความรู้สึกยินดีกับสิ่งที่เขาทำ สังคมในปัจจุบันก็เป็นสังคมเดิมๆ แต่ผู้อยู่ในสังคมต่างหากที่เป็นคนคนเปลี่ยนไป เปลี่ยนเพราะใช้ความคิด คิดเอาแต่ได้ คิดเห็นแกตัว อยากได้อยากมี อยากรวย ไอ้อยากนี้แหล่ะมันสำคัญนัก นึกถึงคำสอนของอ.ยงยุทธ เสมอมิตร ผู้อำนวยการฝึกอบรมแห่งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ ตำบลสองสลึง ให้ประโยคที่ว่า “อยากอย่ากิน หิวจึงกิน” ให้รู้ตัวเองตลอดว่าเราจะทำอะไรอย่าใช้ความอยากเป็นตัวตัดสินว่าต้องกิน ต้องใช้ ให้รู้ ให้คิด ว่าต้องจำเป็นจึงจะกินจะใช้


ไม่ว่าหรอกครับเรื่องกิเลสมีกันทุกคนผมก็มี ไม่มีใครตัดกิเลสได้หมด แต่ให้สำนึกสำเหนียงได้บ้างว่านั้นมันคือกิเลส บางครั้งใช้ความคิดอย่างเดียวไม่พอต้องใช้จิตรพินิจพิเคราะห์ด้วย หรือถ้าจะให้แม่นยำลองคิดด้วยจิตรใต้สำนึกมันจะดี สำนึกในตนเองต่อหน้าที่ของตนบนความเป็นคนที่เกิดบนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ทุกวันเราพบเราเห็นเหตุการณ์หลายๆอย่างในสังคมปัจจุบัน หลายคนที่เห็นแก่ตัวมันมี แต่หลายๆคนที่ทำดีก็มี มันมีทั้งดีทั้งร้าย ผมมีเวลากับสังคมในหนึ่งวันประมาณ ๑๐ ชั่วโมง เห็นคนต่างๆ เป็นร้อยคนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก คนเหล่านั้นล่ะครับที่ประกอบกิจกรรมที่เรียกว่ามันเป็นสังคม การอยู่รวมกัน


บวร บ้าน วัด โรงเรียน มีนักปราชญ์ นักวิชาการ นักคิด นักเขียน นักพูด กล่าวถึงเสมอในสังคมอารยะ ว่าเราต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ ประสาทบ้า พูดออกมาได้อย่างไรว่าต้องสร้างสังคมอารยะ สังคมทุกวันนี้มันก็อารยะอยู่แล้ว สังคมไทย คนไทย มีความอารยะที่สุดอยู่แล้ว น้ำใจไมตรี มีชาติไหนชนะคนไทย การรู้จักบาปบุญคุณโทษ มันมีในสัญชาตญาณของคนที่เกิดเป็นคนไทยทุกคน แต่ทุกวันนี้คนไทยนี้หล่ะกำลังทำเป็นลืมมันไป ไม่มีสิ่งสวยงามให้คุณๆเห็นกันหรอกครับถ้าคุณไม่รู้จักลืมตามองคนอื่นๆในแง่ดี ถ้าคนโทษสังคมนี้เลวทราม ก็ให้รู้ใว้เถิดครับคนที่พูด คนที่คิดอย่างนั้น นั่นล่ะคือคนเลวทรามของสังคมทุกวันนี้


ปัญหาปากท้องข้าวของแพง เกิดขึ้นที่ไรก็เห็นการเอาเปรียบกันมากขึ้น แค่น้ำมันพืชขาดแคลน กะทิ ไข่ หมูเห็ดเป็ดไก่แพง ก็จะเป็นจะตายกันขึ้นมาให้ได้ ความขาดแคลนบนแผ่นดินที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ใครล่ะใครเป็นคนทำ แล้วใครล่ะใครเป็นคนรับกรรม ที่นาข้าวก็เปลี่ยนเป็นสวนยาง สวนปาล์ม ที่เลี้ยงปลาชายทะเลก็เป็นโรงงาน เป็นรีสอร์ท การละเมิดต่อธรรมชาติเป็นการเนรคุณต่อแผ่นดินนี้ที่สุด


วันนี้ต้องขอโทษผู้อ่านผู้ติดตามทุกท่านครับ ผมเองก็โดนผู้อื่นละเมิดอยู่เสมอ


ผมเองไม่ใช่คนดีอะไรมากมายหรอกครับ แค่ผมชอบช่วยเหลือคนอื่นๆที่เดือนร้อนเสมอๆ เรื่องที่ทำมากที่สุดก็เวลาเห็นรถมอเตอร์ไซค์เสียผมก็ให้เขายกใส่รถผมไปซ่อมหรือไปเติมน้ำมันเสมอๆ รถเสียบนถนนก็จอดลงไปเข็นให้เข้าที่เข้าทางตลอด ใครโบกรถก็จอดรับ เห็นพระก็พาไปส่ง แม้บ้างครั้งจะต้องไปคนล่ะเส้นทางก็ตาม (แต่ไม่มากเกินน่ะครับเช่นจะไปต่างจังหวัดหรือต่างอำเภอ อันนี้ก็ต้องนิมนต์น่ะครับ) มีวันหนึ่งเที่ยงคืนแล้วมีกลุ่มวัยรุ่นโบกรถ ๓-๔ คน ผมก็จอดรับ แล้วให้นั่งหน้าคนหนึ่งนั่งในกะบะหลัง ๓ คน(สำหรับรถเก่งไม่น่ะนำให้จอดรับน่ะครับ สำหรับรถกะบะก็บอกไปเลยว่าให้นั่งหน้าคนเดียวหรือให้นั้งหลังหมดก็ได้ ) คนที่นั่งหน้าเค้าพูดว่าโบกตั้งนานไม่มีใครจอดรับสงสัยกลัวมั้ง แล้วพี่ไม่กลัวเหรอ ผมเลยตอบกลับไปว่า แล้วเอ็งคิดว่าข้าทำงานอะไร ว่าแล้วเขาก็นั่งเงียบจนถึงจุดหมายปลายทาง


ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ไม่ได้ลืมวันสำคัญในครอบครัวของใครทั้งนั้น แต่ผ่านชีวิตมา๓๘ ปีแล้ว ผ่านสิบแปดฝนสิบแปดหนาวกว่าสองรอบแล้ว เลยเฉยๆ บวชเรียนมาแล้ว(ผมบวชแล้วเรียน ไม่ใช่บวชเฉยๆ)แม้นานๆจะเข้าวัด แต่ฟังธรรมทุกวัน ฟังแล้วพิจารณาตามทุกครั้งความอิ่มใจอิ่มบุญเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันสำหรับตัวผมเอง


กลับเข้าเรื่องเสียทีครับ ในเดือนนี้มีข่าวตามกระแสสังคมหลายเรื่องทั้งในประเทศและนอกประเทศ แต่ผมเจาะในเรื่องเดียวครับคือชุมชน นาหม่อมมีคนที่เป็นผู้มีอารยะมากมายในภาวะของข้าวอยากหมากแพง ไม่กระเทือนผมแม้แต่น้อยน้ำมันรถลิตรละ ๓๐ บาท ผมผลิตถ่านกิโลละ ๑๕ บาท ใช้แค่ ๒ กิโลก็ได้น้ำมันลิตรหนึ่งแล้ว จึงมีเงินเหลือที่จะกินอาหารตามร้านต่างๆได้ เช่น ผัดไท ก๊วยเตี๋ยว ราดหน้า ฯลฯ ที่เป็นอาหารรองที่ใจอยากจะกินในบ้างโอกาส กินแทนข้าวในบางมื้อไม่ใช่กินเล่น กินเล่นไม่ได้ อ.ยุทธดุเอาอีก ไอสติม ไม่ต้องกิน หากร้อนก็อาบน้ำ เย็นกว่าอีก แกชอบว่าบ่อยๆ วันก่อนแวะไปร้านหนึ่งก็เคยๆกินกันมา ๒๕ ๓๐ แต่พอของแพงราคาจาก ๒๕ ๓๐ เป็น ๔๐ ๔๕ กับก๊วยเตี๋ยวชามหนึ่ง บวกค่าน้ำแข็ง ๒ บาท น้ำขวดละ๑๐ บาท (๔๕๐ ซีซี) ไม่ถึงครึ่งลิตร หรือเท่ากับ แก้วครึ่ง เบ็ดเสร็จ ๖๐ บาท ลาก่อนกับร้านนี้ พอกันที ไปร้านอื่นๆดีกว่า จนผมเจอะอีกหลายร้านค้าใน อ.นาหม่อม ที่ทำอาหารได้อร่อย สะอาด ราคาไม่แพง บริการดี กินน้ำฟรี บ้างทีมีผลไม้แถม ก็รองแวะเข้ามาอุดหนุนกันครับ ร้านที่สัญญาใจกันว่า อาหารจะยังอยู่ที่ ๓๐ ๓๕ บาท น้ำแข็ง น้ำกินฟรี




ร้านซุ้มใบแหรง ก่อนถึงสี่แยกนาหม่อมประมาณ ๒๐ เมตรครับ อาหารอร่อยน่ากินทุกเมนูเลยครับ บรรยากาศกันเองดีมากครับเหมือนไปกินข้าวบ้านญาติเลย

ร้านป้าพร ราดหน้าอร่อยครับ สี่แยกนาหม่อมเลียวซ้ายเข้าวัดนาหม่อม หากจากสี่แยก ๕๐ เมตรเองครับ อยู่ขวามือ เห็นทำหน้าดุๆ แต่ใจดีครับ มีลูกสาวด้วยวันที่ไปถ่ายรูปนี้มา แกก็บอกจะให้ลูกสาวถ่ายแทน เอาเป็นว่าแวะไปชิมให้กำลังใจกันด้วยครับ

ร้านป้าลัดดาร้านค้าของชำ สี่แยกนาหม่อมเลยครับ ผู้จำหน่ายถ่านกะลาอย่างเป็นทางการ มีสินค้าบ้านๆ ให้เลยมากมายเลยครับ

ไข่พะโล้มินิมาร์ท บ้านชายนา พี่วรช่วงนี้ไปเรียนคอมพิวเตอร์อยู่ไม่นานก็จะมีร้านซ่อมคอมแล้วครับ

ร้านพี่รูณ กะทิสด ครับพี่ชายพี่สาวที่ใจดีอีกคู่หนึ่งครับ ที่ให้กะลามาฟรีๆ บางทีผมก็เอาน้ำยาล้างจานไปแลกบาง นั้งคุยนั้งดืมกันบ้างตามมิตรภาพที่ดีครับ จากสี่แยกนาหม่อมทางเข้าวัด ประมาณ ๒๐๐ เมตร กะทิร้านนี้ยังมีราคาที่ หกสิบบาทครับ
ลุงฉ้าย ผู้เก่าแกอีกท่านหนึ่งครับ สำหรับคนนี้ไม่ต้องแนะนำแกมาก คนรู้จักทั้งอำเภอ ผมไปหาแกถามชื้อกะลา แกบอกว่า "เอาไปเถิด มาขนเอง เอาไปทำมาหากิน ลุงชอบ ถ้ารู้จักทำมาหากินก็ไม่อด บ้างทีเป็นเถ้าแกได้เลย เอาไปเถิด" ก็ต้องกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ




ล็อต นพพล เถ้าแก่โรงไม้ผู้สนับสนุนหัวไม้ ขี้กบ ขี้เลื้อย อย่างเป็นทางการ  จริงๆแล้วเป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกัน เราเรียนช่างไฟ แต่จบออกมาก็มีแค่วิชาที่ติดตัวมา ไม่ได้ใช้วิชาในการประกอบอาชีพโดยตรง
อีกคนหนึ่งครับที่มีใจสาธารณะ มีงานบุญที่วัดบางครั้งเพื่อนคนนี้ก็มีส่วนช่วยในการบุญต่างๆ ไม่น้อยเลยที่เดียว คิดถึงเรื่องไม้ คิดถึงไม้มุกครับ ติดต่อได้ที 074 382674 086 7480106

ครับผู้ติดตามและผู้แวะมาเยี่ยมชมบล๊อกนี้ วันนี้การกลับสู่งสังคมบวรได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ในโอกาสนี้ผมยกให้เห็น ๑ในบวรก่อนก็คือ บ้าน บ้านที่มีคนดีๆ คนผู้เป็นอารยะ จะนำสังคมนี้ให้น่าอยู่ ในสังคมมันมีสิ่งต่างๆมากมาย อยู่ที่เราเลือกจะเดินไปในทางไหน วันนี้เราต้องจัดคนที่ดีเป็นผู้นำในบ้าน นำกันเอง นำเอาสิ่งดีสิ่งสวยงามที่เรียกง่ายๆว่าน้ำใจ ออกมาเผยแพร่กัน การทำให้คนดีเป็นที่รู้จัก ต่อไปจะมีแบบอย่างดีๆ ออกมามากมายเองวันนี้ถ้าทุกบ้านแข็งแรง มันจะนำไปสู่วัด คือการทำบุญร่วมกัน แล้วเดือนหน้าผมจะนำเรื่องวัดมาให้ทราบกันต่อไป สุดท้ายวันที่ไปทำบุญตักบาตรวันคล้ายวันเกิดคุณพ่อ ได้แวะไปซื้อแตงโม มีรถขายน้ำอ้อยน้ำมะพร้าวที่ถนนติณสูลานนท์เลียบชายทะเล พี่สาวไปซื้อแตงโม ผมก็บอกว่าเอาน้ำอ้อยให้ถุงหนึ่งด้วย (ร้านน้ำอ้อยกับขายแตงโมคนละร้านกัน) ผมก็เดินไปเอาน้ำอ้อยแล้วกลับมาที่รถพี่สาวมาก็ขับออกไปเลย ไปสักประมาณ ครึ่งกิโลได้แล้วผมก็ถามพี่สาวว่าน้ำอ้อยถุงเท่าไร พี่สาวผมตอบว่า ไม่รู้ ฮ้าวแกยังไม่จ่ายเงินทีเหรอ แกขับรถกลับไปเลยกลับไปจ่ายตังส์เขาก่อน ทุเรศจริงๆ ฉันก็นึกว่าแกจ่ายแล้ว แล้วเราก็ขับรถกลับไปจ่ายตังส์ พี่สาวกลับขึ้นรถมาพร้อมน้ำอ้อยอีก สองถุง ผมก็ถามพี่สาวว่า ทำไมเขาไม่เรียกตอนขึ้นรถ รถออกก็ช้า เรียกก็คงได้ยิน พี่สาวบอกว่า เค้าบอกว่าไม่เรียกเพราะเกรงใจ เห็นรถคันใหญ่โตดูแล้วก็คิดว่าคงลืม ไม่เป็นไร เพื่อคิดได้วันหลังคงเอามาให้เอง ครับอีกหนึ่งในสังคมอารยะ  พ่อค้าแม่ขาย ที่ดี ผู้ทียอมขาดทุน ไม่ใช่หน้าเลือด เหมือนหลายๆร้านที่ ขายน้ำเวลาไปกินข้าวที่ร้านแล้วต้องควักตังส์จ่ายค่าน้ำเปล่าอีก ก็ขอบคุณพี่ทั้งสองครับที่ทำให้สังคมนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น แวะไปเยี่ยม แวะอุดหนุนกันได้ครับ ถนนเลียบทะเลชายไปโรงพยาบาลสงขลาครับ ห่างจากสถานีขนส่งสงขลา ประมาณ ๓๐๐ เมตรครับดูรถ ดูหน้าดูตากันเองน่ะครับ หรือจะถามชื่อก็ได้ พี่ผู้หญิงแกชื่ออมรครับ

สวัสดี