อ.ยักษ์มาสงขลา มาให้งานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสงขลา
ซึ่งในรับทราบในวันเข้าร่วมประชุมคณะทำงานเครือข่ายประชาสังคมจังหวัดสงขลา
สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า
ซึ่งมีหัวข้อของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอพียงมาปรับใช้ แน่นอนครับจะได้พบ อ.ยักษ์
อีกครั้งในฐานะหลานศิษย์
ย้อนคิดไปถึงอดีตที่ตัดสินใจทิ้งเมืองหลวงทิ้งความสะดวกสบายทิ้งฐานะทางสังคม
กลับมาทำสวนยางในแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สี่ปีเต็มๆกว่าจะสำเร็จจนถึงวันนี้ เทปรายการคนห่วงแผ่นดินของ อ.ยักษ์
ผมเปิดนั่งดู ตัดต่อบ้างเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ผู้มาดูงานได้ดูกว่าร้อยๆเที่ยว
มีประโยคที่จำขึ้นใจก็หลายๆคำ เช่น “ทำไปเถอะแม้คนอื่นๆไม่เข้าใจ
ทำไปอย่าหยุด”
หากจำคาถาบทนี้ไม่ได้ผมเองก็ไม่มีวันนี้
บนเส้นทางเดินที่กลับมาใช้ชีวิตแบบชาวสวนก็สบายดีเพราะกลับมาตัดยางได้เลย
ไม่ต้องปลูกเพราะทุนเดิมมีอยู่แล้ว ญาติพี่น้องแต่ละคนก็สำเร็จกันหมดแล้ว
แต่ผมและครอบครัวมาเริ่มนับหนึ่งใหม่
แน่นอนครับหลายๆคนก็คงจะอดคิดไม่ได้ว่าสงสัยไปไม่รอด
เหตุเพราะกลับมาไม่ได้ตัดยางอย่างเดียวเหมือนที่คนอื่นๆทำและสำเร็จกันมาคือ ตัดยาง
4 วัน หยุด 1 วัน ทำอย่างนี้มาเป็นสิบๆปีจนสร้างบ้านซื้อรถ ฯลฯ เป็นความสำเร็จตามที่หลายๆคนคิด
แต่แน่นอนความคิดคนต้องไปเหมือนกันเพราะพื้นฐานทางความคิดแตกต่างกัน
นอกจากตัดยางแล้วครอบครัวผมยังมีกิจกรรมอย่างอื่นๆอีกหลายอย่างเช่น
ทำน้ำยาล้างจาน เผาถ่าน เลี้ยงหมูหลุม เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด ทำปุ๋ย
และปรับคุณภาพต้นยาง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้รับความรู้มาจาก
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง นี้ล่ะครับ จากผู้เข้ารับการอบรมจนมาเป็นวิทยากรกระบวนการของศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ
ตำบลสองสลึง อ.แกลง จ.ระยอง.โดยมี ผู้ใหญ่สมศักดิ์ เครือวัลย์และ อ.ยุงยุทธ์
เสมอมิตร เป็นครู ครูที่สอนแบบจับมือทำ
การได้รับความยอมรับแรกๆก็แบบปากต่อปากในเรื่องของเปอร์เซ็นต์น้ำยางที่ปรับขึ้นมา
จาก 29 เปอร์เซ็นต์ เป็น 45 เปอร์เซ็นต์และยืนระยะการคงเปอร์เซ็นต์ขณะตัดยางมากว่า
20 วัน ถึงกระนั้นเปอร์เซ็นต์น้ำยางก็ไม่เคยต่ำกว่า 38 เปอร์เซ็นต์ตลอดระยะ 3
ปีที่ผ่านมาแม้ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมีเลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะ
“การเลี้ยงดินให้ดินเลี้ยงพืช”
นั้นคือความสำเร็จที่ยั่งยืนจริงๆ
“ดินดีปลูกอะไรๆก็ขึ้น” คาถาอีกบทที่จำฝังใจ
หลังจากมีการบอกกันต่อๆไป ก็เริ่มมีคนสนใจมาดูงาน และเชิญไปเป็นวิทยากร
ทำให้ได้สำผัสความรู้สึกนึกคิดของชาวสวนจริงๆ นั้นก็คือ “ตัดยางอย่างเดียวก็พอได้กินแล้ว”
แม้ผมจะพยายามจะบอกถึงการทำอาชีพเสริมไว้บ้าง
แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจึงขอปฏิเสธการไปเป็นวิทยากรแบบบรรยายอย่างเดียว
และหนึ่งในปัญหาของชาวบ้านก็คือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
และไม่สามารถเข้าถึงการหนุนเสริมของภาครัฐ การถูกละเมิดสิทธิ ฯลฯ
ที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาทวงสิทธิของชุมชนคืนเป็นปัญหาหนึ่งที่ชาวบ้านไม่อยากจะทำให้ที่แตกต่างมากนัก
อีกประการหนึ่งคือการใช้วิธีแจกของให้ของ เช่น ปลาดุก ไก่ กากน้ำตาล ฯลฯ
แล้วอ้างว่าทำเศรษฐกิจพอเพียง โดยไม่ให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย บ้างครั้ง ปลาดุ ไก่
ก็ต้องมาตายเปล่าๆต่อหน้าต่อหน้า ของคนที่ใส่เสื้อ “คืนชีวิตให้แผ่นดิน”
สถาบันครอบครัวไม่มีความมั่นคงโดยรวม มันทนไม่ไหวก็ต้องลุกขึ้นมาสู้
สู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับ แม้หลายคนกำลังต่อสู้เพื่อบ้านเมือง
สู้ต่อภัยพิบัติ แต่ตัวผมเองจะขอสู้สู้ในชุมชน
สร้างชุมชนที่น่าอยู่พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ การได้รับฉันทามติของชาวบ้านและชาวเมือง
ในอีกบทบาทหน้าที่ หน้าที่ที่มาจากการประยุกต์ใช้ ความรู้ คู่คุณธรรม
บนพื้นฐานการปฏิบัติ “พออยู่พอกิน พอใช้ เหลือเก็บแจกจ่ายให้ทาน จะขายก็ไม่ได้ว่า”
และเมื่อ อ.ยักษ์
ได้มาให้ความรู้ที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่ท่านได้พร่ำอบรมสั่งสอนลูกศิษย์กว่าสามแสนคนบนพื้นแผ่นดินไทย
ผมในฐานะหลานศิษย์ก็จะได้นำเอาความรู้นั้นมาเพื่อขีดเขียนไว้บนแผ่นดิน แทนการเข้าร่วมแสดงมุทิตาจิตรที่จัดขึ้น
ในวันที่ 15 – 17 มีนาคม ของทุกๆปี ณ มหา ลัย คอกหมู มาบเอื้อง จ .ชลบุรี